
ที่ผ่านมาเรามองมะเร็งเหมือนเป็นสิ่งแปลกปลอมที่ต้องการกำจัดออกไป แม้จะเป็นการทำลายร่างกายที่ปกติไปด้วยก็ตาม ถ้าเปรียบเทียบการรักษามะเร็งกับสงคราม ก็เหมือนกับที่เราไม่ชนะ เพราะว่าเราไม่รู้ว่า “ไม่รู้เขา รู้เรา” นั่นเอง
มะเร็ง คือเซลล์ร่างกายที่เติบโตอย่างผิดปกติ ซึ่งมีที่มาจากเซลล์ร่างกายเดิมที่ “เคยปกติ” เพราะในทุกขณะที่ร่างกายของเราต้องมีการสร้างเซลล์ใหม่ทดแทนเซลล์เดิมที่เสื่อมสภาพนั้น เรามีโปรแกรมระดับเซลล์ที่ควบคุมการแบ่งเซลล์ให้ได้ลักษณะที่คงเดิมทั้งรูปร่างหน้าตาและฟังชั่นการทำงาน แต่ก็จะมีเซลล์ที่ผิดปกติเกิดมาในขบวนการนี้เช่นกัน ซึ่งร่างกายจะมีระบบที่คอยควบคุมดูแล ตั้งแต่การโปรแกรม รหัสพันธุกรรมหรือยีน การแปรรหัสยีนเดิม สร้างเซลล์ใหม่ที่เหมือนเดิมและกำจัดเซลล์ที่กลายพันธุ์ไม่ให้ออกมาเป็นเซลล์ไม่ให้ออกมาเป็นเซลล์สมบูรณ์ และเมื่อเซลล์ใหม่เกิดออกมาแต่ทำงานผิดเพี้ยนจากปกติ ก็จะมีระบบตรวจตราค้นหา และทำลายเพื่อให้ร่างกายทำงานไปได้อย่างปกติหรือสุขภาพดีไม่เจ็บป่วย เราเรียกระบบนี้ว่า “ระบบภูมิต้านทาน หรือ Immune System”
แต่ถ้าระบบตรวจตรานี้ไม่ทำงานตามปกติหรือด้อยประสิทธิภาพลง ก็จะเกิดเซลล์ผิดปกติมากขึ้นๆมันจะรวมกันกลายเป็น “มะเร็ง” นั้นเอง ดังนั้นในความรู้ใหม่ เราทราบว่าเรามีเซลล์มะเร็งในร่างกายได้ตลอดเวลา ตั้งแต่เด็กและสะสมมากขึ้นๆตามอายุ โดยเกิดเป็นสมดุลระหว่างการสร้างเซลล์มะเร็งจากกลไกที่กล่าวข้างต้น รวมถึงการตรวจตราและทำลายโดยภูมิต้านทาน
สมมุติว่า เรามีการสร้างเซลล์มะเร็งวันละ 200 เซลล์ และระบบภูมิคุ้มกันสามารถทำงานเซลล์แปลกปลอมรวมทั้งมะเร็งได้ 300 เซลล์ต่อวัน ในภาวะนี้เราอาจจะตรวจเจอเซลล์มะเร็งในเนื้อเยื่อ หรือกระแสเลือด (Circulated tumor cell) แต่เราจะไม่ตรวจเจอก้อนมะเร็ง เพราะมะเร็งถูกทำลายเสียก่อน ดังนั้นด้วยแนวคิดนี้ มะเร็งเกิดในร่างกายได้จาก
- มีการสร้างเซลล์มะเร็งมากกว่าเดิม เช่นเจอกับมลภาวะก่อมะเร็ง กัมมันตภาพรังสี การติดเชื้อไวรัสก่อมะเร็ง เช่น ไวรัสตับอักเสบบี ไวรัส HPV หรือการกลายพันธุ์แล้วทำงานมากขึ้นของยีนมะเร็ง ร่างกายสร้างมะเร็งเพิ่มขึ้นเป็นวันละ 300 เซลล์ แม้ระบบภูมิคุ้มกันจะกำจัดมะเร็งได้ 300 เซลล์เท่าเดิม เซลล์มะเร็งก็จะเหลือรวมกันเป็นก้อนมะเร็งจนได้
- มีการสร้างเซลล์มะเร็งเท่าเดิมวันละ 200 เซลล์ แต่การกำจัดของภูมิคุ้มกันลดลงเหลือกำจัดได้วันละ 100 เซลล์ เช่น การเจ็บป่วยที่ระบบภูมิคุ้มกัน หรือโรคเอดส์ โรคเบาหวาน ความชรา (โรคมะเร็งเป็นความชราอย่างหนึ่ง) หรือการกลายพันธุ์ของยีนต้านมะเร็งที่ไม่ทำงาน เหล่านี้เป็นผลให้เซลล์มะเร็งที่ออกมา สามารถรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนได้อย่างง่ายดาย
การรักษามะเร็งในสมัยก่อนเปรียบเทียบคือการจัดการมะเร็งแบบ “รู้เขา แต่ไม่รู้เรา” แม้จะผ่าเอาอวัยวะที่เป็นมะเร็งทิ้งไป แล้วฉายรังสีทำลายมะเร็งที่หลงเหลือ ก็จะมีมะเร็งที่เล็ดรอดไปได้รอวันพัฒนาเป็มะเร็งก้อนใหม่ๆ จนเราต้องให้ยาเคมีเข้าไปทั่วร่างกายด้วยหลักการทำลายมะเร็งที่แบ่งตัวมากกว่าเซลล์ร่างกาย แต่มะเร็งที่แบ่งตัวช้าก็จะดื้อยาและร่างกายก็จะทรุดโทรมจนอาจเสียชีวิตจากผลข้างเคียงของยาเคมี เช่น ติดเชื้อในภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำหลังได้ยาเคมี
ในทศวรรษที่ผ่านมา เราได้ทราบถึงกลไกการกลายพันธุ์ที่ก่อมะเร็งและกลายมาเป็นเป้าหมายต่อการใช้ยามุ่งเป้า เพื่อทำลายมะเร็ง แต่ทว่ามีมะเร็งเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่เราจะพบเป้าหมาย และมียาที่เฉพาะเจาะจงโดยที่มีผลข้างเคียงน้อย
ดังนั้นจึงมีการย้อนกลับมาดูที่กลไกการเกิดมะเร็งข้างต้น และนักวิทยาศาสตร์และแพทย์มะเร็งได้ร่วมกันคิดที่จะจัดการมะเร็งด้วยการศึกษาและจัดระเบียบกลไกการทำงานที่ผิดเพี้ยนของระบบภูมิคุ้มกัน และลองใช้กับผู้ป่วยที่ไม่สามารถใช้การผ่าตัด ฉายรังสี ยาเคมีและยามุ่งเป้าได้ พบว่าได้ผลในการควบคุมการลุกลามของโรคได้นาน จนทำให้มะเร็งระยะสี่ที่รักษาไม่หายกลายเป็นโรคเรื้อรัง ด้วยการฉีดยาภูมิคุ้มกันบำบัด 3 สัดาห์ต่อครั้งคุมโรคมะเร็ง เช่นมะเร็งลำไส้ มะเร็งไฝดำระยะแพร่กระจายได้ถึง 5 ปี ซึ่งในทางการแพทย์คือความสำเร็จอันยิ่งใหญ่
ดังนั้นภูมิคุ้มกันบำบัดจึงเป็นก้าวใหม่บนหลักการใหม่ในการสู้กับมะเร็ง คือ นอกจาก “รู้เขา” คือรู้จักทำลายมะเร็งแล้วยัง “รู้เรา” คือส่งเสริมให้ภูมิคุ้มกันมะเร็งในร่างกายของเรา กลับมาทำงานอย่างที่ควรเป็นไปอย่างดีขึ้นด้วยการติดอาวุธที่เรียกว่า “ ภูมิคุ้มกันบำบัด” หรือ “Immunotherapy” นั่นเอง ฉบับหน้าเราจะมาเจาะลึกอาวุธลับนี้กันว่ามีอะไรบ้าง และเหมาะกับมะเร็งอะไรบ้าง